รีวิว Honda City Hatchback e:HEV ขับยาว ๆ กรุงเทพ - หาดใหญ่ Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Honda City Hatchback e:HEV ขับยาว ๆ กรุงเทพ - หาดใหญ่

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 10 December 2564

ในยุคที่ราคาน้ำมันหนึ่งลิตร เท่ากับราคาข้าวราดแกงหนึ่งจาน จะขับรถเดินทางไปไหนแต่ละที คิดแล้วคิดอีก จนทำให้เกิดคำถามว่าเราซื้อรถมาเพื่ออะไรกันแน่ ?


จุดประสงค์การใช้รถของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนซื้อมาจอดโชว์ บางคนซื้อมาขับเล่นในวันหยุด ซึ่งการใช้งานลักษณะนี้ก็คงไม่ได้เครียดกับราคาน้ำมันสักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ต้องใช้รถทุกวัน เดินทางบ่อยๆ บอกเลยว่าบิลค่าน้ำมันแต่ละเดือนนี่แทบจะดาวน์รถคันใหม่ได้เลย 

ด้วยวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จึงทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างพัฒนารถในสังกัดของตัวเองให้มีความก้าวหน้า และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น รวมไปถึงค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้า ที่ได้เปิดตัวรถ Honda City Hatchback e:HEV ซึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้เครื่องยนต์ Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i MMD)
และอย่างที่ทราบกันดีว่ารถเครื่องยนต์ไฮบริด เป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน เพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป กับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งผลให้รถกินน้ำมันน้อยลง แต่ใครจะเชื่อว่าเจ้า Honda City Hatchback e:HEV RS คันที่ผมนำมาทดสอบในครั้งนี้ ประหยัดน้ำมันแบบเหลือเชื่อ

ในบทความนี้ ออโต้สปินน์ ได้มีโอกาสนำรถทดสอบ Honda City Hatchback e:HEV RS มาใช้งานอยู่หลายวัน ได้ทดสอบทั้งอัตราสิ้นเปลือนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัย และเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่าง ๆ เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังครับ

Honda City Hatchback e:HEV RS คันนี้เป็นรถไฮบริดในตัวถังแฮทช์แบค โดยส่วนตัวแล้วผมชอบตัวถังแนวนี้อยู่แล้ว เพราะสามารถใช้งานได้หลากหลาย มีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน โดยคันนี้คือรุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Honda SENSING และชุดแต่ง RS เรียกได้ว่าแต่งหล่อมาให้แล้วจากโรงงาน

Honda City Hatchback e:HEV RS ดีไซน์ภายนอก

Honda City Hatchback e:HEV RS มีมิติตัวถัง ความกว้าง 1,748 มม. ความสูง 1,488 มม. ความยาว 4,349 มม. ชุดแต่ง RS รอบคัน กระจังหน้าสีดำ Gloss black กึ่งกลางกระจังคือโลโก้ฮอนด้าขอบสีฟ้า ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความเป็นยนตกรรมไฮบริด ไฟหน้าเป็นแบบ Full LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ และยังมีระบบปรับไฟสูงต่ำมาให้ด้วยครับ ที่ด้านบนของกระจกหน้ารถจะเห็นได้ว่ามีกล้อง ซึ่งกล้องตัวนี้ทำหน้าที่ในการจับวัตถุ ทำงานให้กับระบบความปลอดภัยหลายระบบของรถคันนี้ รวมไปถึงระบบความปลอดภัย Honda SENSING ด้วย

กระจกมองข้างสีดำเงา พับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวให้ในตัว ที่ใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้าย มีกล้องมาให้ 1 ตัว ซึ่งกล้องตัวนี้จะทำงานในระบบความปลอดภัย Honda LaneWatch เมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย จะขึ้นเป็นภาพแสดงให้ที่หน้าจอตรงกลาง ซึ่งเป็นอีกระบบความปลอดภัยที่ช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากมุมอับสายตาในขณะขับขี่ และในรุ่นนี้ จะได้เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ

และผมเชื่อว่าผู้ใช้รถหลายท่านเมื่อลงจากรถแล้ว ก็อาจจะเคยลืมล็อกรถกันบ้างแหละ ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนโจรกรรม แต่สำหรับเจ้าคันนี้หมดกังวลได้เลยครับ เมื่อเราเดินออกห่างจากตัวรถ ระบบจะล็อกรถให้เองแบบอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้มีชื่อเรียกว่า Walk Away Auto Lock นอกจากนี้เรายังสามารถสตาร์ทรถผ่านกุญแจรีโมทได้อีกด้วยครับ ล้ำสมัยใช้ได้เลย

สำหรับล้อแม็กซ์ในรุ่นนี้ ก็สวยงามเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จะได้เป็นล้อขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 185/55R16 และเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

ไฟท้ายเป็นแบบ LED มีกล้องหลังให้ กันชนแบบสปอร์ต พร้อมไฟทับทิม และที่ด้านล่างสุดมีดิฟฟิวเซอร์หลังสีดำตัดกับสีรถได้อย่างสวยงาม

Honda City Hatchback e:HEV RS ดีไซน์ภายใน

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางโดดเด่นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งแถบสีแดง สื่อถึงความสปอร์ต

พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง มีปุ่มมัลติฟังก์ชันฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมจอเครื่องเล่นตรงกลาง ส่วนปุ่มทางฝั่งขวาสำหรับตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ

จอเรือนไมล์แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว สำหรับดูค่าต่าง ๆ ของตัวรถ

จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps มีระบบสั่งการด้วยเสียงผ่าน SIRI และระบบเชื่อมต่อ Honda Connect

และถ้าหากเปิดไฟเลี้ยวซ้าย หรือกดปุ่มที่อยู่ปลายก้านทางฝั่งขวา กล้องที่อยู่ใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้ายจะทำงาน หน้าจอกลางในรถจะขึ้นเป็นภาพด้านซ้ายของตัวรถ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Honda LaneWatch เป็นระบบความปลอดภัยเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ซึ่งภาพตอนกลางคืนก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนไม่แพ้ตอนกลางวันเลยล่ะครับ

สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง นั่งสบาย พื้นที่กว้างขวาง มีแอร์หลัง พร้อมช่องจ่ายไฟ ตัวเบาะยังสามารถพับได้หลากหลายรูปแบบ รองรับทุกสไตล์การใช้งาน เมื่อพับเบาะแล้วจะได้พื้นที่ความจุอยู่ที่ 822 ลิตร เท่ากับในรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบเลยครับ

ในส่วนของแบตเตอรี่ไฮบริด ตำแหน่งการวางจะอยู่ตรงช่องวางยางอะไหล่ ยาวไปถึงใต้เบาะหลัง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เสียพื้นที่ในการโดยสาร หรือบรรทุกของแต่อย่างใด

Honda City Hatchback e:HEV RS เครื่องยนต์

Honda City Hatchback e:HEV RS ขับเคลื่อนด้วยระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i MMD) ระบบ Full Hybrid เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวนึงทำหน้าที่ในการปั่นไฟ ส่วนอีกตัวทำหน้าที่ในการขับเคลื่อน แรงบิดรวม 253 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า E-CVT ประหยัดน้ำมันสูงสุด 27 กม./ล. และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86 กรัม/กิโลเมตร รองรับน้ำมัน E20

พูดง่ายๆก็คือใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับที่อยู่ในบอดี้ซีดาน หากเปรียบเทียบความประหยัดน้ำมันระหว่าง 2 รุ่น City e:HEV รุ่นซีดานจะได้เปรียบเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเล็กน้อย เนื่องจากความแตกต่างของแรงต้านอากาศและน้ำหนักของตัวรถ

ทดสอบการขับขี่ Honda City Hatchback e:HEV RS

การทดสอบในครั้งนี้ จะเน้นการใช้งานแบบเดินทางไกลเป็นหลัก ขับจากกรุงเทพ-หาดใหญ่-กรุงเทพ รวมระยะทาง 2 พันกว่ากิโลเมตร

2 วันแรกหลังจากที่รับรถ เป็นการใช้งานในกรุงเทพ ซึ่งสภาพการจราจรในกรุงเทพ คงทราบกันดีว่ารถติดมาก โดยเฉพาะในย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิท สาธร สีลม จึงมีโอกาสได้ทดสอบระบบความปลอดภัย Honda SENSING 5 ระบบ ได้แก่

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก : หากเราขับรถมาแบบเพลินๆ แล้วรถคันหน้าเบรกแบบกะทันหัน หรือขับจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป ที่หน้าจอเรือนไมล์จะมีสัญลักษณ์และเสียงเตือน และระบบจะช่วยเบรกให้แบบอัตโนมัติหากอยู่ในระยะที่เริ่มไม่ปลอดภัย
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน : เมื่อเราล็อกความเร็วเอาไว้ เราสามารถยกเท้าออกจากคันเร่งได้เลย หากคันหน้าเบรก รถเราก็จะเบรกตาม หากคันหน้าเพิ่มความเร็ว รถเราก็จะเพิ่มความเร็วตามจนถึงความเร็วที่เราล็อกเอาไว้ นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งระดับของความห่างระหว่างคันหน้าได้ถึง 4 ระดับครับ
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ : หากเราเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมกับหน่วงพวงมาลัยดึงให้ตัวรถกลับเข้ามาในเลน หากใครยังไม่ชินกับระบบนี้อาจรู้สึกหงุดหงิด เพราะพวงมาลัยจะขืนเมื่อเราขับทับเส้นเลนถนน แต่สำหรับผม ผมว่าเป็นระบบที่ดีเพราะช่วยสร้างวินัยในการขับรถ ทำให้การเปลี่ยนเลนจะต้องเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ : การใช้งานระบบนี้ เราจะต้องกดปุ่มที่ฝั่งขวาของพวงมาลัย โดยระบบนี้กล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า จะตรวจจับเส้นเลนถนน และจะบังคับควบคุมตัวรถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และในทางโค้งพวงมาลัยก็จะหมุนเลี้ยวให้เอง แต่ถ้าเรายกมือออกจากพวงมาลัยนานเกินไป ระบบจะเตือนเพื่อให้เราเอามือจับพวงมาลัยครับ ถือว่าเป็นระบบที่ว้าวพอสมควรเลย ดูล้ำสมัยมากครับ
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ : เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มืด ไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ระบบจะเปิดไฟสูงให้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้ากล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกตรวจจับได้ว่ามีรถวิ่งสวนทางมา ก็จะปรับเป็นไฟต่ำให้แบบอัตโนมัติ การขับในเมืองอาจไม่ได้ใช้ระบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะในเมืองมีแสงไฟถนนเยอะอยู่แล้ว แต่มีประโยชน์มากเวลาเดินทางข้ามจังหวัดตอนกลางคืน

ในส่วนของการขับขี่ในเมือง ก็ถือว่าเป็นรถที่ขับง่าย คล่องตัว ขับมุดเปลี่ยนเลนไปมาได้สะดวก ตัวถังรถมีขนาดที่พอเหมาะ จากการทดสอบขับขี่ในเมืองอยู่ 2 วัน ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 22 กม./ล

หลังจากที่ทดสอบการขับขี่ในเมืองกันเรียบร้อย วันรุ่งขึ้น ผมและทีมงานมุ่งหน้าไปจังหวัดสงขลา อำเภอหาดใหญ่ โดยการเดินทางในครั้งนี้ มีผมและน้องที่ทำงานอีกหนึ่งคน พร้อมกับสัมภาระกระเป๋าเดินทางคนละสองใบ ส่วนทีมงานคนอื่น ๆ เดินทางล่วงหน้าไปก่อนเมื่อสองวันที่แล้ว

ในทริปนี้ ผมออกเดินทางกันตอนตี3 เพราะเป็นเวลาที่รถโล่ง การจราจรช่วงถนนพระราม2 รถไม่ติด มีเพียงแต่รถบรรทุกที่ต้องคอยระวัง เส้นทางในบางช่วงไม่มีไฟข้างทาง เรียกได้ว่ามืดสนิท จึงถือโอกาสนี้ทดสอบระบบไฟสูงต่ำอัตโนมัติ จากการทดสอบก็ถือว่าระบบทำงานได้เร็วมากครับ ถ้ากล้องตรวจจับว่าเป็นทางมืดจะเปิดเป็นไฟสูงให้ทันที แต่ถ้ามีรถวิ่งสวนทางมา ก็จะปรับเป็นไฟต่ำทันทีเช่นเดียวกัน ซึ่งในจุดนี้ผมชอบนะครับ เพราะไม่ต้องเสียสมาธิไปกับการเปิดไฟสูง-ต่ำด้วยตัวเอง

ความเร็วที่ผมใช้ในการเดินทาง เฉลี่ยแล้วจะยืนพื้นที่ความเร็วประมาณ 120-130 กม./ชม. มีจอดแวะปั้ม ดื่มน้ำ ยืดเส้นยืดสายพักร่างกายแถวหัวหิน จากนั้นเดินทางต่อโดยใช้ความเร็วเท่าเดิม เส้นทางขาลงใต้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตลอดทางเจอแต่รถขับช้าวิ่งขวา บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ได้แต่แอบด่าในใจแล้วก็แซงซ้ายเดินทางต่อ

เมื่อเข้าสู่ อ.เมืองชุมพร-ขุนกระทิง เจอถนนกำลังทำใหม่ หลุมบ่อ และดินโคลนเพียบ เลยถือโอกาสนี้ทดสอบระบบช่วงล่าง ในช่วงที่เป็นทางขรุขระ ผมว่าเจ้าคันนี้ช่วงล่างไม่ย้วย ซับแรงได้ดีใช้ได้เลย แต่ยังมีความตึงตังอยู่บ้างเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร

อ่อ แล้วอีกอย่างที่ผมลืมบอกไปคือ ในช่วงการขับออกตัว มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้สมูทมาก อัตราเร่งดี เครื่องยนต์ไม่หน่วง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเหยียบคันเร่งแบบคิกดาวน์ แล้วลากแบบยาว ๆ เสียงโหยหวนของเครื่องยนต์ก็จะดังเข้าตัวรถทันที แต่พอยกเท้าออกจากคันเร่งแล้วกรอคันเร่งเบา ๆ เสียงนั้นก็หายไป สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องปกติของรถยนต์ที่มีซีซีประมาณนี้

สำหรับการขับเข้าโค้งที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ก็ทำได้มั่นใจครับ ตัวรถไม่ร่อน เข้าโค้งแรง ๆ ท้ายไม่ออก ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดนี้ ผมว่าการทรงตัวในย่านความเร็วทำได้ดีกว่าในรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตำแหน่งการวางแบตเตอรี่ไฮบริด อยู่ในต่ำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงที่ดี และมีน้ำหนักที่มากพอในการช่วยกดตัวรถ จะสังเกตได้ชัดเวลาขับจั้มคอสะพาน ท้ายรถจะไม่โยน

และอีกหนึ่งสิ่งที่เจ้าคันนี้ทำได้ดี นั่นก็คือขับแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะเบาะนุ่มกำลังดี รับเข้ากับสรีระร่างกาย ประกอบกับเครื่องยนต์ที่มีอัตราเร่งดี คันเร่งเหยียบติดเท้า ไม่ต้องรอรอบ จึงทำให้การขับขี่ทางไกลไม่มีอะไรน่ากังวลเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ขับมาตั้งแต่เช้า ด้วยระยะทาง 945 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ถึงหาดใหญ่ โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 120-130 กม./ชม. แต่ก็มีบางช่วงที่กดแช่ด้วยความเร็ว 170 กม./ชม. พูดง่ายๆก็คือเป็นการขับขี่แบบตามใจเท้า ผลที่ออกมาคือได้อัตราส้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20 กม./ล สำหรับผม ผมว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันใช้ได้เลยทีเดียว แต่ถ้าเทียบกับการขับขี่ในมือง ในเมืองจะได้ประมาณ 22 กม./ล. ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในเมืองจะเจอรถติดบ่อย ซึ่งการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ รถจะเคลื่อนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก ส่งผลให้การใช้งานในเมืองประหยัดกว่า

สภาพรถหลังจากที่ขับมาทั้งวัน เจอทั้งฝนตก ลุยน้ำ ลุยโคลน จนเนื้อตัวมอมแมม

วันรุ่งขึ้นรีบตื่นแต่เช้าพาเจ้าสุดหล่อเข้าคาร์แคร์ จับอาบน้ำ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายใน จนเงาวับ กลับมาหล่อเหมือนเดิม

ประเดิมมือแรกของวันด้วยติ่มซำ ซึ่งร้านนี้หากใครมาเที่ยวหาดใหญ่ต้องห้ามพลาดร้านติ่มซำร้านนี้ แนะนำว่าให้ตื่นมาทานแต่เช้า เพราะช่วงสาย ๆ คนจะเยอะมาก และถ้าถามว่าเมนูไหนอร่อยสุด ตอบยากมากครับ เพราะอร่อยทุกเมนู และที่สำคัญคือราคาไม่แพงด้วย

หลังจากอิ่มจากมือเช้า ผมและทีมงานออกเดินทางกันต่อ ไปถ่ายรูปสวย ๆ กันที่ หาด Miami หรือหาดสมิหลา ซึ่งที่นี่โดดเด่นด้วยชายหาดสีขาวที่ทอดยาวสุดสายตา พร้อมกับทิวทัศน์ของต้นมะพร้าว กับถนนสวยๆ

ต่อด้วย Street art ในเมืองเก่า ตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม โดยที่นี่เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ชื่นชอบถ่ายภาพกับสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสมผสานด้วยงานศิลปะที่วาดลวดลายอยู่บนผนังบ้านเรือนในพื้นที่แห่งนี้

อีกหนึ่งร้านอาหารที่พลาดไม่ได้คือ ร้านสตูว์เจ้าเก่า "เกียดฟั่ง" ซึ่งอยู่ในย่านเมืองเก่า ทีเด็ดของที่นี่ขอแนะนำเป็น "สตูหมูกรอบ" ที่หมูกรอบอร่อยมาก กรอบมาก และน้ำสตูที่มีรสชาตินุ่มลิ้น กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ตอนกลางวัน เรียกได้ว่า "ลงตัว"

ต่อด้วยการขับรถกินลมชมวิวบนถนนขนอม-สิชล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งที่นี่ เป็นถนนเลียบอ่าวไทย ลัดเลาะไปตามไหล่เขา โดดเด่นด้วยสภาพเส้นทางที่มีความสวยงาม ไล่ระดับความสูง-ต่ำ ของถนนคล้ายกับถนนในโซนภาคเหนือเลยทีเดียว

หลังจากที่สนุกอยู่กับการขับรถกินเที่ยวอยู่ 2วัน ก็ได้เวลากลับไปทำงานต่อ ในวันที่เดินทางกลับ ผมและทีมงานต้องรีบทำเวลา เพราะวันรุ่งขึ้นมีงานต่อ ซึ่งขากลับบอกเลยว่าขับแบบตีนผีมาก มีเท่าไหร่ใส่หมด เหยียบคิกดาวน์จนคันเร่งแทบทะลุ แต่ก็กลับถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัย รวมระยะทางในทริปนี้ 2,248 กม. แต่ที่น่าแปลกใจคือ ค่า AVG แสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18.7 กม./ล. ซึ่งบอกเลยว่าประหยัดน้ำมันเกินคาดจริง ๆ ครับ

ผมขอสรุปอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในทริปนี้ ดังนี้ครับ

  • ขับในเมือง แบบรถติด สลับถนนโล่ง ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 22.0 กม./ล.
  • ขับทางไกล ถนนโล่ง ใช้ความเร็ว 120-130 กม./ชม. ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20 กม./ล
  • ขับแบบตีนผี มีเท่าไหร่ใส่หมด ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 18 กม./ล

สรุปโดยรวม

ในความเห็นส่วนตัว ผมว่า Honda City e:HEV ในบอดี้แฮทช์แบคทำออกมาได้สวยลงตัวกว่าซีดาน เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้หลากหลาย ขับได้ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด เป็นรถไฮบริดที่ขับแล้วประหยัดน้ำมันจริง ขับแล้วรู้สึกปลอดภัย เพราะมีระบบช่วยต่าง ๆ มากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คุ้มค่าและน่าใช้งานมากครับ

Honda City Hatchback e:HEV RS ราคา 849,000 บาท

มีให้เลือก 6 สี ได้แก่

  • สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) สีใหม่
  • สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
  • สีขาวแพลทินัม (มุก)
  • สีดำคริสตัล (มุก)
  • สีเทาโซนิค (มุก)
  • สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/cityhatchbackehev


คำนวณค่างวดรถเบื้องต้น
Use the calculator to calculate the installment of your dream car
ระยะเวลาผ่อนชำระ (เดือน)
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้
อัตราการผ่อนชำระ (เดือน)
บาท
จำนวนงวด (เดือน)
สนใจขอสินเชื่อรุ่นนี้
* ราคาค่างวดรวม VAT แล้ว สำหรับพิจารณาข้อมูลเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้

ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ